ในปัจจุบันต้องยอมรับว่า กาแฟ เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั่วโลก ประเทศไทยก็เช่นกัน โดยปัจจุบัน ข้อมูลเมื่อปี 2562 คนไทยบริโภคกาแฟ เฉลี่ย 300 แก้ว/คน/ปี และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยธุรกิจกาแฟ มีมูลค่า 37,000-38,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ในประเทศไทย ยังถือว่า ยังมีผู้ปลูกกาแฟไม่มาก เมื่อเทียบกับประเทศ เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย ข้อดีของกาแฟคือ เป็นพืชทนแล้ง แต่ต้องการน้ำบ้างในช่วงให้ผลผลิต ผลผลิตก็สามารถเก็บไว้ได้นานไม่ต้องรีบขายเหมือนกับพืชผัก หรือไม้ผลบางชนิด และยัง สามารถปลูกร่วมกับไม้ผล หรือไม้ยืนต้นชนิดอื่นได้ ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสี่ยงกรณีพืชหลักราคาตกต่ำ และเป็นการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า
กาแฟที่เราบริโภค หลัก ๆ มาจาก พืชตระกูลกาแฟ 2 ขนิด คือ Coffia Arabica หรือที่เราเรียกกันว่า กาแฟอราบิก้า (Arabica) กับ Coffia Canephora หรือที่เราเรียกันว่า กาแฟ โรบัสต้า (Robusta) นั่นเอง โดยข้อแตกต่างระหว่าง กาแฟอราบิก้า กับ โรบัสต้า มีดังนี้
ความสูงและอุณหภูมิของแหล่งปลูก
- อราบิก้าต้องการอากาศเย็น อุณหภูมิที่เหมาะสมคือประมาณ 15-24 องศาเซลเซียส แหล่งปลูก ต้องมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 600-2000 เมตร
- โรบัสต้า ทนอากาศร้อนได้ดี อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 18-36 องศาเซลเซียส สามารถปลูกได้ในที่ราบจนถึงที่สูง 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ความทนทานต่อโรคแมลง
- กาแฟอราบิก้า จะอ่อนแอต่อโรคแมลง และสภาพอากาศ ที่ไม่เหมาะสม มากกว่า โรบัสต้า เนื่องจากปริมาณคาเฟอีนที่มากกว่า ทำให้กาแฟโรบัสต้า ทนต่อโรคแมลงได้ดีกว่า
ลักษณะเมล็ดกาแฟ
- ลักษณะเมล็ดกาแฟอราบิก้า จะยาวรี ส่วนโรบัสต้า จะออกกลมมากกว่าดังรูป
รสชาติ
- รสชาติของกาแฟอราบิก้า จะมีความหลากหลายมากกว่าโรบัสต้า โดยจะมีตั้งแต่รส หวาน อ่อนละมุน จนถึงเปรี้ยว และแหลม มีกลิ่นและรสที่ละเอียดล้ำลึก มีปริมาณกรดที่แตกต่างกัน ซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามแหล่งปลูก โดยกลิ่นรส มีตั้งแต่ คล้าย ผลไม้ รสหวาน ถั่ว ช็อกโกแล็ต หรือแม้แต่ ไวน์ อราบิก้า จะมีปริมาณน้ำตาล มากกว่า โรบัสต้า ถึง 2 เท่า และมีปริมาณกรดน้อยกว่า
- กาแฟโรบัสต้า จะมีรสชาติไม่หลากหลายเทา อราบิก้า กลิ่นรส จะเข้ม ดุดัน คล้ายไม้ไหม้ และขม เนื่องจากมีปริมาณคาแฟอีน สูงกว่า
ปัจจุบัน กาแฟที่ปลูกทั่วโลกจะเป็นสายพันธุ์อราบิก้า ประมาณ 60% และโรบัสต้า ประมาณ 40% โดย ทวีปอเมริก้าใต้เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด ประมาณ 50% ของผลผลิตทั้งหมด ในแถบเอเชีย มีผลผลิตประมาณ 30% โดยมี อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ส่วนไทย นั้นมีผลผลิต เพียง 1% ของอาเซียนเท่านั้น โดยในประเทศไทย นั้น เกือบ 70% ของกาแฟจะปลูกในจังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และ นครศร๊ธรรมราช โดยเป็นสายพันธุ์โรบัสต้า และส่วนที่เหลือ ปลูกตามที่สูงทางภาคเหนือ เป็นสายพันธุ์อราบิก้า
การปลูกกาแฟโรบัสต้า
พื้นที่ปลูก
พื้นที่เหมาะกับกาแฟโรบัสต้า ควรเป็นที่ราบ หรือมีความลาดชันน้อย
- มีความสูงไม่เกิน 700 เมตรจากระดับน้ำทะเล
- อุณหภูมิเฉลี่ย 20-30 องศาเซลเซียส
- ควรมีแหล่งชลประทาน หากไม่มีระบบชลประทาน ควร ปริมาณฝนไม่น้อยกว่า 1500 mm ต่อปี และมีการกระจายตัวของผนไม่น้อยกว่า 7 เดือน
- ไม่มีน้ำท่วมขัง
- ดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย หน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 50
- ความเป็นกรด/ด่าง (pH) ของดิน 5.5-6
สายพันธุ์กาแฟโรบัสต้า
- ปัจจุบัน ศูนย์วิจัยพืชสวนขุมพร ได้พัฒนาสายพันธุ์กาแฟโรบัสต้า ออกจำหน่ายให้แก่เกษตรกรหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่แนะนำคือ ชุมพร 2, ชุมพร 84-4, ชุมพร 84-5 โดยแต่ละสายพันธุ์มีคุณสมบัติแสดงดังตาราง
ชุมพร 2 | ชุมพร 84-4 | ขุมพร 84-5 | |
ผลผลิตเฉลี่ย (กก/ไร่/ปี) | 350 | 482 | 428 |
น้ำหนัก 100 เมล็ด (กรัม) | 16.2 | 15.5 | 17 |
รสชาติ (cup test) | 7.2 | 7.2 | 7.2 |
ปริมาณเนื้อสารกาแฟ (%) | 57.37 | 54.49 | 55.55 |
ปริมาณคาเฟอีน (%) | 2.44 | 2.24 | 2.18 |
%เมล็ดแห้ง ต่อผลสด | 22.3 | 24.5 | 25 |
อายุการเก็บเกี่ยว (เดือน) | 11 | 10-11 | 10-11 |
วิธีการปลูก
- ควรปลูกช่วงต้นฤดูฝน
- ปักหลักไม้เพื่อป้องกันลมพัด
- ควรให้น้ำต่อเนื่องหลังปลูก 2-3 สัปดาห์หากไม่มีฝนตก
- สามารถปลูกเป็นพืชเดี่ยวหรือปลูกร่วมกับสวนผลไม้ เช่นมะพร้าว ทุเรียน กล้วย หรือพืชอื่น ๆ ได้
- กรณีปลูกกลางแจ้ง ควรทำร่มเงาให้ต้นกล้า
- การปลูกควรปลูกอย่างน้อย 3 สายพันธุ์ในแปลงเดียวกันโดยปลูกสลับแถวกันไป
- กรณีปลูกเป็นพืชเดี่ยว ปลูก 170 ต้น/ไร่ หรือระยะ 3×3 เมตร
- กรณีปลูกร่วมกับไม้ผล เช่นทุเรียน (ระยะปลูก 8×8) ควรปลูกห่างจากต้นทุเรียน ไม่น้อยกว่า 3 เมตร เพราะเมื่อทรงพุ่มกาแฟโตขึ้น จะได้มีพื้นที่ในการเก็บเกี่ยวผลผลิตรอบต้นกาแฟ
- กรณีปลูกไม้ยืนต้นอื่นแซม ควรปลูกพืชให้ร่มเงาก่อนปลูกกาแฟ 6-12 เดือน สะตอ ใช้ระยะปลูก 15×15 เมตร แค 12×12 เมตร กระถิน 9×9 เมตร
การให้ปุ๋ย
- ปีแรก-ปีที่2 ใส่ปุ๋ยซิลิคอนโวก้า 0.3-.-0.5 กิโลกรัมต่อต้น ทุก 1-3 เดือน
- เมื่อให้ผลผลิตแล้ว (ปีที่ 3 ขึ้นไป)
เดือน | ปุ๋ยที่ใช้ | อัตราต่อต้น |
เมย-พค | ปุ๋ยซิลิคอนโวก้า | 0.5kg |
กค | 46-0-0 | 60 กรัม |
0-0-60 | 60 กรัม | |
กย | 46-0-0 | 60 กรัม |
0-0-60 | 60 กรัม | |
ธค | 46-0-0 | 60 กรัม |
0-0-60 | 60 กรัม | |
ปุ๋ยซิลิคอนโวก้า | 1-3kg |
การให้น้ำ
สวนกาแฟส่วนใหญ่จะอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติ ซึ่งพื้นที่ปลูกควรมีปริมาณฝน มากกว่า 1,200-1,500 มิลลิเมตร ต่อปี และมีการกระจายของฝนไม่น้อยกว่า 7 เดือน
หากเป็นพื้นที่ที่ขาดน้ำ ควรมีการให้น้ำกาแฟ โดยพิจารณาตามความต้องการน้ำของกาแฟ
- ช่วงดอกตูม ดอกกาแฟจะพัฒนาจากเซล เล็กๆ กลายเป็นกลุ่มดอก และ กลุ่มดอกเหล่านี้ จะเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนโตเต็มที่ ก็จะหยุดการเจริญ เรียกว่า อยู่ในช่วงพักตัว ซึ่งมีระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 5-6 สัปดาห์ ช่วงนี้เป็นช่วงที่กาแฟ “ไม่ต้องการน้ำ” ซึ่งหลังจากการพักตัวเต็มที่แล้ว เมื่อได้น้ำ ก็จะบานพร้อมกัน
- ช่วงดอกพักตัวสมบูรณ์พร้อมจะออกจากการพักตัว หลังจากผ่านช่วงแล้ง ดอกพักตัวสมบูรณ์แล้ว เมื่อได้ปริมาณน้ำที่เพียงพอ ดอกจะเจริญเติบโต มีขนาดใหญ่ขึ้นจนเห็นเป็นดอกสีขาว ช่วงนี้ควรให้น้ำอย่างเพียงพอ เพื่อให้ตอกบานได้พร้อมกันทั้งแปลง หากน้ำไม่เพียงพอ ดอกอาจจะบานไม่พร้อมกัน และ อาจจะเหี่ยว ฝ่อ และไม่มีการติดผล
- ช่วงดอกบาน ดอกกาแฟมักจะบานภายใน 7-10 วัน หลังจากได้น้ำในระยะที่ 2 แล้ว ช่วงนี้ควรงดน้ำ เนื่องจากเป็นช่วงที่ดอกกาแฟจะผสมเกสรระหว่างต้น หากเกสรตัวผู้โดนละอองน้ำ จะหลุดออก ไม่สามารถปลิวไปผสมเกสรกับต้นอื่นได้ ทำให้ติดผลน้อยและผลผลิตตกต่ำ
- ช่วงเริ่มติดผล หลังจากดอกได้มีการผสมเกสรแล้ว ก็จะติดผลขนาดเล็กเป็นกลุ่มจำนวนมาก ช่วงนี้ หากฝนทิ้งช่วง ต้องมีการให้น้ำเพื่อให้ดินมีความชื่นเพียงพอ เพื่อป้องกันผลฝ่อ และร่วงหลุดจากต้น
- ช่วงที่ผลขยายตัวอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผลขยายตัวอย่างรวดเร็วและสะสมน้ำหนักแห้ง (ประมาณ 3-4 เดือนหลังดอกบาน) เป็นช่วงสำคัญที่สุดที่ต้นกาแฟ ไม่ควรขาดน้ำ ผลจะขยายตัวจากขนาดเม็ดพริกไทย และโตขึ้นเรื่อย ๆ ผลจะสร้างเนื้อเยื่อรอบๆ เมล็ด และช่องว่างเพื่อให้เมล็ดเจริญต่อมาภายหลัง ช่วงนี้หากกาแฟขาดน้ำ เนื้อเยื่อและช่องว่างสำหรับเมล็ด จะเล็ก ทำให้ได้เมล็ดกาแฟขนาดเล็ก ผลผลิตตกต่ำ จึงจำเป็นต้องให้น้ำ หากฝนทิ้งช่วง
การตัดแต่งกิ่ง
- หลังปลูกในปีแรก กาแฟ จะแตกกิ่งย่อย ๆ จากกิ่งหลัก ให้เลือกกิ่งที่แตกใหม่ เก็บไว้ 3-5 กิ่ง รวมทั้งกิ่งหลักด้วย
- กิ่งที่เลือกเก็บไว้ 3-5 กิ่ง ควรมีการกระจายตัว ไม่เบียดชิดกัน
- เมื่อกิ่งหลักโตเต็มที่แล้ว ควรหมั่นปลิดกิ่งแขนง ที่แตกออกจากกิ่งหลักทุก ๆ 3-4 เดือน
- เมื่อกิ่งหลักให้ผลผลิตไปแล้ว 7-9 ปี ผลผลิตจะเริ่มลดลง ให้ตัดกิ่งหลักที่ไม่สมบูรณ์ออก ปีละ 1 กิ่ง พร้อมทั้งเลี้ยงกิ่งทดแทน 1 กิ่งเช่นกัน
- ทำซ้ำทุกปี เมื่อทำครบ 4-5 กิ่งหลัก ก็จะได้กิ่งหลักใหม่ที่ให้ผลผลิตสูงเช่นเดิม
- เมื่อต้นกาแฟอายุมาก จนผลผลิตลดลง ไม่คุ้มค่า ให้ทำการตัดฟื้นต้นใหม่
การตัดฟื้นต้น
- บางครั้งเมื่อต้นกาแฟอายุมาก และผลผลิตที่เหลืออยู่น้อยมากจนไม่คุ้มค่า แทนที่เราจะตัดกิ่งหลักออกทีละกิ่งเราอาจพิจารณาตัดกิ่งหลักออกทั้งหมดเลยก็ได้ เราเรียกวิธีนี้ว่า การตัดฟื้นต้น มีข้อควรพิจารณาคือ
- ผลผลิตน้อยไม่คุ้มกับต้นทุน
- ต้นมีความสูงมากจนเก็บเกี่ยวลำบาก
- ต้นกาแฟมีอายุมากกว่า 9 ปีขึ้นไป
- ต้นหรือกิ่งได้รับความเสียหายมาก
- ควรทำต้นฤดูฝนเพื่อป้องกันการแห้งตายของตอ
การตัดฟื้นต้นมีวิธีการตัด 2 วิธี คือ
วิธีที่ 1
- ตัดกิ่งหลักออกทั้งหมดให้เหลือแต่ตอ สูงจากพื้นดิน 50 ซม. โดยหน้าตัดให้เอียงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้น้ำขัง
- นำซุปเปอร์ซิลิคอนโวก้า ผสมน้ำเป็นโคลน แล้วทาตรงรอยตัดเพื่อป้องกันโรคเข้าสู่แผล
- เมื่อกิ่งใหม่แตกออกมายาว ประมาณ 10 ซม. ให้ปลิดออกจนเหลือประมาณ 3-5 กิ่ง เพื่อเป็นกิ่งหลักต่อไป
วิธีที่ 2
- ทำเหมือนวิธีแรก แต่ให้เหลือกิ่งหลักเก่าไว้หนึ่งกิ่ง เป็นกิ่งพี่เลี้ยง เพื่อประกันว่าต้นจะไม่ตาย
- เหมาะสำหรับต้นโทรม ไม่แข็งแรง หรือพื้นที่แห้งแล้ง
- หากกิ่งพี่เลี้ยงบังแดดกิ่งใหม่ให้โน้มกิ่งพี่เลี้ยงออก เพื่อให้กิ่งใหม่รับแสงได้ดี
- ตัดกิ่งพี่เลี้ยงออกเมื่อกิ่งใหม่โตได้ที่แล้ว
โรคกาแฟ
• โรคราสนิม
- สาเหตุ : เกิดจากเชื้อรา Hemileia Vastatrix
- ลักษณะอาการ : จุดเหลืองใต้ใบขยายเป็นวงกว้าง มีสปอร์สีส้มทำให้ใบร่วงและกิ่งแห้ง
- การทำลาย : จะทำให้ต้นกาแฟ ทิ้งใบแก่และใบอ่อนในระยะต้นกล้าและต้นโตเต็มวัย
- การป้องกัน :
1) เลือกสายพันธุ์ที่ต้านทานโรค หลีกเลี่ยงการใช้กาแฟโรบัสต้าใบเล็ก เรียวยาว
2) ฉีดพ่นด้วยสารป้องกันเชื้อรา คีโตพลัส โดยเน้นการฉีดพ่นให้ทั่วทั้งผิวใบและใต้ใบ
• โรคใบไหม้สีน้ำตาล
- สาเหตุ : เกิดจากเชื้อรา Cercospora sp.
- ลักษณะอาการ : จุดกลมสีน้ำตาลและขยายใหญ่ขึ้น แผลจะเห็นอาการเนื้อเยื่อตายมีสีน้ำตาลไหม้ เมื่อแผลแต่จะจุดขยายมารวมกันจะแสดงอาการเหมือนใบใหม้
- การทำลาย : พบเห็นในช่วงอากาศแห้งแล้งติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือพืชได้รับเชื้อราผ่านทางบาดแผล
- การป้องกัน :
1) ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค และผ่าทำลาย
2) ฉีดพ่นด้วยสารป้องกันเชื้อรา คีโตพลัส โดยเน้นการฉีดพ่นให้ทั่วทั้งผิวใบและใต้ใบ
• โรคผลเน่า
- สาเหตุ : เกิดจากเชื้อรา Colletotrichum sp.
- ลักษณะอาการ : จุดสีน้ำตาลเข้มบนผลกาแฟด้านใดด้านหนึ่ง กลางแผลขยายใหญ่ติดกัน รูปร่างไม่แน่นอน ทำให้เนื้อเยื่อผลยุบและเปลี่ยนเป็นสีดำแห้งติดอยู่บนต้น
- การทำลาย : เชื้อราเข้าทำลายทั้งผลอ่อนและผลแก่ มักพบในต้นที่ให้ผลผลิตมาก ๆ
- การป้องกัน :
- 1) เก็บผล และตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค และผ่าทำลาย
2) หลังตัดแต่งกิ่งและผล ที่เป็นโรคออกแล้ว ให้ใส่ปุ๋ยซิลิคอนโวก้า เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับต้นกาแฟ
3) ฉีดพ่นด้วยสารป้องกันเชื้อรา คีโตพลัส
• โรคกิ่งแห้ง
- สาเหตุ : เกิดจากเชื้อรา
- ลักษณะอาการ : มีรอยใหม้บนกิ่งสีเขียว ข้อและปล้องของต้นมีสีเหลืองซีด ใบเหลือง และร่วงในเวลาต่อมา กิ่งจะเหี่ยวและแห้ง ตาดอกเหี่ยว
- การทำลาย : มักเกิดเมื่อมีสภาพแห้งแล้งเป็นเวลานาน หรือเมื่อพืชอ่อนแอจากสาเหตุอื่น ๆ ทำให้เชื้อเข้าทำลายได้
- การป้องกัน :
- 1) ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค และผ่าทำลาย
2) ใส่ปุ๋ยซิลิคอนโวก้า เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับต้นกาแฟ
3) ให้ร่มเงากับพืช และรักษาความชื้นของดินให้กับพืช
4) ฉีดพ่นด้วยสารป้องกันเชื้อรา คีโตพลัส
แมลงศัตรูกาแฟ
• หนอนเจาะต้นกาแฟสีแดง
- ความเสียหาย : เกิดกับต้นและกิ่งกาแฟทั้งต้นเล็ก และต้นที่ให้ผลผลิตแล้ว
- การทำลาย : เจาะต้นและกิ่งจนหักโค่นล้ม
- การป้องกัน :
1) ทำลายพืชอาศัยรอบบริเวณกาแฟ
2) หมั่นรักษาความสะอาดและตรวจดูต้นกาแฟสม่ำเสมอ
3) ตัดกิ่งที่ถูกทำลายเผาทิ้ง ลดการระบาดของแมลง
• มอดเจาะกิ่งกาแฟ
- ความเสียหาย : เกิดความเสียหายกับกิ่งกาแฟที่ให้ผลผลิต โดยกิ่งจะแห้งตายเป็นสาเหตุให้โรคเข้าทำลายในเวลาต่อมา
- การทำลาย : ตัวเต็มวัยจะเจาะเข้าไปอาศัยขยายพันธุ์และเจริญเติบโตอยู่ภายในกิ่งกาแฟ ทำให้ต้นกาแฟอ่อนแอ ผลผลิตลดลง
- การป้องกัน :
1) ตัดแต่งกิ่งที่ถูกทำลายเผาทิ้ง
2) บำรุงต้นกาแฟให้แข็งแรง โดยใส่ปุ๋ยซิลิคอนโวก้าอย่างสม่ำเสมอ
• มอดเจาะผลกาแฟ
- ความเสียหาย : ก่อความเสียหายกับผลกาแฟ และเป็นเหตุให้เชื้อราเข้าทำลายในระยะเวลาต่อมา
- การทำลาย : ตัวเต็มวัยจะเจาะเข้าไปอาศัยขยายพันธุ์ กัดกินเนื้อเยื่อเมล็ดกาแฟเป็นอาหาร ทำให้เมล็ดกาแฟเสียหาย
- การป้องกัน :
1) เก็บผลผลิตในระยะเวลาและฤดูกาลที่ถูกต้อง
2) เก็บผลผลิตกาแฟให้หมดไม่เหลือคาต้นหรือหล่นคาพื้นดิน
3) ตัดแต่งกิ่งกาแฟให้โปร่ง และเก็บเกี่ยวสะดวก
4) เผาทำลายผลกาแฟที่ถูกเจาะทำลาย
5) ทำกับดักล่อมอดทั้งในแปลง และโรงเก็บผลกาแฟแห้งโดยใช้เมทิลแอลกอฮอล์ และเอธิลแอลกอฮอล์ อัตรา 1:1
• เพลี้ยแป้ง
- ความเสียหาย : กาแฟแสดงอาหารใบเหลืองและร่วง ผลผลิตกาแฟพัฒนาไม่สมบูรณ์และเกิดเชื้อราตามมา
- การทำลาย : ตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อน ใบแก่ ส่วนอ่อนของกิ่งกาแฟ และหากพบในระยะติดผล จะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ผลพัฒนาไม่สมบูรณ์
- การป้องกัน :
ฉีดพ่น คีโตแม็กซ์ เพื่อกำจัดเพลี้ยแป้ง อัตรา 20cc ต่อน้ำ 20 ลิตร
การเก็บเกี่ยว และการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
• ระยะเวลาการเก็บเกี่ยว
- เก็บผลกาแฟที่มีสีแดง สีเหลือง หรือสีส้มแดง ไม่น้อยกว่า 90% ของผล
- ไม่เก็บผลอ่อนที่มีสีเขียว ผลร่วง หรือผลที่สุกเกินไป
• อุปกรณ์การเก็บเกี่ยว
- ตาข่ายสีฟ้า หรือ กระสอบปุ๋ยที่ตัดเป็นแผ่น ขนาด 2×2 เมตร หรือ 1.5×1.5 เมตร สำหรับรองรับผลที่เก็บแล้ว
- ตะขอเกี่ยวกิ่ง ที่สูง เพื่อโน้มกิ่งให้ต่ำลงเพื่อให้เก็บผลได้ง่ายขึ้น
• วิธีการเก็บ
- เก็บเป็นรุ่น ไม่เก็บผลกาแฟสุกที่ร่วงบนพื้นดินเกิน 1 วัน เนื่องจากอาจปนเปื้อนเชื้อรา
- การเก็บรอบสุดท้าย ต้องเก็บผลกาแฟให้หมดต้น เพื่อป้องกันมอดเจาะผลกาแฟที่อาศัยข้ามปี
- ใช้วัสดุรองพื้นดินบริเวณต้นกาแฟขณะทำการเก็บ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนกับเมล็ดกาแฟเก่าที่หล่นใต้ต้น
- ภาชนะบรรจุผลกาแฟที่เก็บได้ ต้องสะอาด
- นำผลกาแฟที่เก็บได้เข้าสู่ขบวนการทำให้แห้ง ภายใน 24 ชั่วโมง
• การตากแห้ง
- คัดแยกผลสดเมล็ดกาแฟที่สมบูรณ์ออกจากผลกาแฟที่ไม่สมบูรณ์หรือผลเสียหายโดยวิธีการลอยน้ำ โดยเมล็ดที่ลอยคือเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์ให้คัดออก
- ตากผลกาแฟบนพื้นที่สะอาด มีอากาศถ่ายเทดี และได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน
- ควรเกลี่ยผลกาแฟที่ตากให้มีความหนาไม่เกิน 5 cm และพลิกกลับผลเมล็ดกาแฟอย่างสม่ำเสมอ วันละ 4 ครั้ง
- หลังตากได้ 5-7 วัน ระวังไม่ให้ผลกาแฟเปียกฝน หรือน้ำค้าง โดยการคลุมกองกาแฟในเวลากลางคืน
- ผลกาแฟจะแห้งได้ที่ เมื่อได้รับแสงแดดเต็มที่ประมาณ 15 วัน
- เก็บผลกาแฟแห้งในภาชนะที่สะอาด
• การสีผลกาแฟแห้ง
- ใช้เครื่องสีผลกาแฟแห้งที่มีคุณภาพดี เมื่อสีผลกาแฟแล้ว จะได้เมล็ดกาแฟ พร้อมจำหน่าย หากเกษตกรไม่มีเครื่องสี อาจจะใช้บริการของรถรับจ้างสีกาแฟตามไร่ ก็ได้ (หากมี)
• การเก็บรักษาเมล็ดกาแฟ
- บรรจุภัณฑ์ที่บรรจุเมล็ดกาแฟ ต้องสะอาดปราศจากกลิ่น
- เก็บในโรงเรือนที่สะอาด ยกพื้นสูงเพื่อป้องกันความชื้น
มาตรฐานคุณภาพเมล็ดกาแฟ
• ความชื้น
- ความชื้นไม่เกินร้อยละ 13 สำหรับเมล็ดกาแฟที่ไม่ต้องเก็บรักษาหรือขนส่งเป็นระยะเวลาไม่นาน
- ความชื้นไม่เกินร้อยละ 12.5 สำหรับเมล็ดกาแฟที่ต้องเก็บรักษา หรือขนส่งเป็นระยะเวลานาน
• ข้อบกพร่องของเมล็ดกาแฟ
ข้อบกพร่อง | สัดส่วนโดยน้ำหนัก (%) |
เมล็ดดำ | 2 |
เมล็ดขึ้นรา | 0.5 |
เมล็ดแตก | 2 |
เมล็ดถูกแมลงทำลาย | 4 |
ผลกาแฟแห้ง | 0.5 |
สิ่งแปลกปลอม | 0.5 |
ข้อบกพร่องรวม | 7 |
• รายละเอียดข้อบกพร่อง
ข้อบกพร่อง | ความหมาย |
สิ่งแปลกปลอม | สิ่งเจือปนทางกายภาพอื่น ๆ ที่ไม่ใช้เมล็ดกาแฟ เช่นเศษหิน ดิน เศษไม้ รวมทั้งเปลือกและเยื่อหุ้มเมล็ดกาแฟ |
เมล็ดดำ | เมล็ดที่มีสีดำภายใน และ/หรือ ภายนอกเมล็ดมากกว่าครึ่งหนึ่งของเมล็ด |
เมล็ดแตก | เมล็ดกาแฟที่แตกออกเป็นชิ้นเล็กกว่าครึ่งหนึ่งของกาแฟเต็มเมล็ด |
เมล็ดมอดเจาะหรือที่ถูกแมลงทำลาย | เมล็ดกาแฟที่ถูกแมลงกัด แทะ หรือเจาะจนเกิดเป็นรู มากกว่า 1 รู |
เมล็ดที่ขึ้นรา | เมล็ดกาแฟที่มีลักษณะการเข้าทำลายของเชื้อราที่ผิวเมล็ด |
ผลกาแฟแห้ง | ผลกาแฟที่ผ่านกรรมวิธีการทำให้แห้งจนได้ผลกาแฟแห้งที่ยังไม่ได้สีเปลือกออก รวมทั้งเมล็ดกาแฟที่มีเปลือกติดบางส่วน |
ข้อบกพร่องรวม | ปริมาณโดยน้ำหนักของข้อบกพร่องทั้งหมดข้างต้นรวมกัน |
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.bangkokbanksme.com/en/organic-coffee-market
https://www.cubicocoffee.com/blog/arabica-vs-robusta-which-one-is-better